11/02/2555

ข้อควรรู้ก่อนขอสินเชื่อธุรกิจ SMEs

ข้อควรรู้ก่อนขอสินเชื่อธุรกิจ SMEs  
                  ปัจจุบันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อประกอบธุรกิจSMEsเป็นเเรื่องใกล้ตัวของผู้ประกอบการมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินต่างๆ มีการทำตลาดเชิงรุก เข้าถึงผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกและเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้สะดวก รวดเร็ว มากขึ้น แต่ในการขอสินเชื่อจากธนาคารผู้ประกอบการส่วนใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจที่เริ่มต้น ขาดความเข้าใจหลักการพิจารณาปล่อยสินเชื่อของธนาคาร  และคิดว่าการขอสินเชื่อหรือการที่ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้นั้นเป็นเรื่องยาก และบางรายอาจใช้บริการในการระดมทุนจากแหล่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากธนาคาร บางครั้งทำให้ต้นทุนในการประกอบการสูงกว่าที่ควรจะเป็น ขาดโอกาสในการทำกำไร  หรือประสบกับปัญหาที่ยุ่งยากและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ แล้ววิธีการใดบ้างที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนติดต่อขอใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือธนาคาร  วันนี้จึงขอยกปัจจัยที่คิดว่าสำคัญและผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจก่อนการติดต่อขอกับธนาคาร  โดยในลำดับแรกผู้ประกอบการควรศึกษาหาข้อมูลของสถาบันการเงินหรือธนาคารที่ให้บริการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ว่ามีที่ใดบ้างที่มีผลิตภัณฑ์ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของเรา มีการสนองความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง มีขั้นตอนหรือกระบวนการการขอสินเชื่อที่สะดวกหรือยุ่งยากอย่างไร โดยเฉพาะระยะเวลาในการอนุมัติสินเชื่อรวดเร็วทันต่อความต้องการใช้ในธุรกิจอย่างทันท่วงทีไหม มีเงื่อนไขที่ช่วยแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการได้ดีแค่ไหน เช่น เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการขอสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ รายได้ หรือหลักประกัน มีผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่เป็น Solutions ในการช่วยแก้ไขปัญหา เช่น หลักประกันราคาไม่พอ หรือยังไม่มีหลักประกัน แต่อยากจะได้วงเงินเยอะ ๆ เป็นต้น ที่สำคัญการบริการหลังการขายที่เกินความคาดหมาย ไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้บริการทางสินเชื่อ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงหรือองค์กรแห่งการเรียนรู้สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้า และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบการธุรกิจก็คือต้นทุนของสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้ประกอบการที่ต่ำกว่ามีจุดที่ให้บริการครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ เป็นต้น  ก่อนการตัดสินเลือกใช้บริการ
            สำหรับตัวผู้ประกอบการเอง ต้องตรวจสอบคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อด้วยว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดหรือไม่ ถ้าไม่ครบยังขาดตรงจุดใดบ้าง ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจัยสำคัญในการที่มีโอกาสผ่านการ พิจารณาอนุมัตินั้น มีหลักใหญ่อยู่ 4 ปัจจัย ได้แก่
1.ตัวผู้ขอสินเชื่อเอง อาจจะเป็นในนามบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล จะต้องไม่เคยมีประวัติเสียหายในเรื่องการเงินกับธนาคารหรือสถาบันการเงินใดมาก่อน ธนาคารจะทราบจากการตรวจสอบเครดิตบูโรของผู้กู้
2.ธุรกิจที่ทำอยู่ เป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเสี่ยงตามนโยบายของธนาคารหรือไม่ หรือติดเพดานการปล่อยสินเชื่อหรือเปล่า และต้องไม่เป็นธุรกิจที่ผิดศีลธรรมหรือขัดต่อความสงบสุขของสังคม เช่น บางครั้งมีบางธุรกิจที่ใครก็หันมาทำ จนทำให้ล้นตลาด มีการลด แลก แจก แถม จนต้องล้มหายตายจากไป ธนาคารจึงต้องเบรคไม่ปล่อยให้มีเพิ่มเป็นต้น ตลอดจนประสบการณ์ในการทำธุรกิจก็เป็นส่วนสำคัญด้วย ปกติทั่วไป ผู้ขอสินเชื่อจะต้องมีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า ปี  และธนาคารบางแห่งก็มีการอนุโลมโดยออกผลิตภัณฑ์พิเศษให้ลูกค้าที่เริ่มต้นธุรกิจ
3.รายได้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารๆ ไม่ได้มุ่งหวังหรือมีนโยบายที่จะยึดหลักประกันของลูกค้าหากลูกค้าไม่สามารถผ่อนชำระได้ แต่ธนาคารหวังได้รับการชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนจากลูกค้าเป็นเงินสด ทำให้ต้องมีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ หรือรับภาระหนี้ของลูกค้าว่าสามารถรับภาระหนี้วงเงินสินเชื่อที่ขอได้หรือไม่ หรือที่เรียกว่า คำนวณ DSCR โดยคำนวณจากรายได้สุทธิ (รายรับหักรายจ่าย) ว่ามีเท่าไร และภาระการผ่อนคืนต่อเดือนรวมกับภาระเดิม (ถ้ามี) เป็นเท่าไร แล้วนำไปหารกับรายได้สุทธิ ผลออกมายิ่งสูงยิ่งดี โดยปกติไม่ควรต่ำกว่า 1.2 และหากสูงกว่า 2.5 ขึ้นไป อาจขอสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกันได้ โดยธนาคารจะพิจารณาจากผลการเดินบัญชีที่ผ่านมาย้อนหลังอย่างน้อย  เดือนนำมาเฉลี่ย และจากงบการเงิน(งบกำไร-ขาดทุน) ในกรณีขอในนามบริษัทฯ
4.หลักประกัน หากการขอสินเชื่อมีหลักประกันที่คุ้มกว่าวงเงินที่ขอ หรือที่เรียกว่า LTV ต่ำ โอกาสที่จะได้รับอนุมัติก็มีสูง (ต้องประกอบกับปัจจัยอื่นข้างต้นด้วย) หลักประกันควรเป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัย หรือที่ทำการของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากธุรกิจมีผลประกอบการที่ดี หลักประกันอาจไม่มีความจำเป็น แต่หากมีหลักประกันที่ดีในการเสนอขอสินเชื่อ ต้นทุนในการคิดอัตราดอกเบี้ยก็จะต่ำกว่าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน
            ก่อนการเข้าไปติดต่อกับธนาคารควรศึกษาคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อและเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม โดยสอบถามจากเจ้าหน้าที่หรือ ช่องทางการให้คำปรึกษาต่างๆ ของธนาคารว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง หากเอกสารถูกต้องครบถ้วน มาตรฐานของธนาคารที่มีประสิทธิภาพจะรู้ผลได้ภายใน วันทำการและได้รับเงินไม่เกิน 10 วันทำการ แต่หากเอกสารที่สำคัญไม่ครบถ้วน ถึงจะมีคุณสมบัติครบถ้วนก็จะเป็นเหตุให้ถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อได้




ที่มา http://k-expert.askkbank.com/HowTo

ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุลคล


     การนำเงินในอนาคตมาใช้ อาจทำให้คุณใช้จ่ายเกินตัว และเกิดภาระหนี้สินติดพันมากมายจนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวได้ ดังนั้นก่อนจะทำบัตรเครดิต หรือเป็นหนี้เงินกู้ต่าง ๆ ควรคิดให้รอบคอบ และประเมินตัวเองว่ามีความสามารถที่จะจัดการกับหนี้สินที่จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ หรือไม่

     การเป็นหนี้ส่วนบุคคล เปรียบเสมือนคุณนำเงินในอนาคตมาใช้จ่ายล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อโทรศัพท์มือถือ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ซึ่งการใช้บัตรเครดิตนั้น ทำให้คุณมีความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย สามารถซื้อสินค้าที่มีราคาสูงได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินในปัจจุบัน และสามารถนำเงินจากบัตรเป็นเงินสำรองในกรณีฉุกเฉินได้ แต่ก่อนจะเลือกใช้บริการบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล คุณควรมีการพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบเสียก่อน หรืออาจเรียกว่า วางแผนให้ดีก่อนเป็นหนี้” จะเห็นว่า บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น มีคุณอนันต์ กล่าวคือ สามารถนำเงินอนาคตมาใช้ก่อนได้ ในกรณีที่เราเกิดเหตุฉุกเฉิน แถมยังมีการจัดแคมเปญ สะสมแต้มเพื่อแลกของสมนาคุณ จูงใจลูกค้าให้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลก็มีโปรโมชั่นกู้ฟรีแถมไม่มีดอกเบี้ยด้วย ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  เพียง 2-3 เดือน  แต่อย่าลืมว่าของฟรีไม่มีในโลก การกู้ฟรีบางทีก็มีโทษมหันต์เหมือนกัน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และยังไม่รู้ว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไรนั้น มีวิธีการจัดการกับหนี้ทั้งสองง่ายๆ ดังนี้


1.         รวบรวมหนี้ทั้งหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งหมด เพื่อให้รู้จำนวนหนี้ทั้งหมดในปัจจุบันว่าเป็นเท่าไร

2.         แยกประเภทหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจ่าย  โดยชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน เช่น จ่ายหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า ก่อนหนี้บัตรเครดิต

3.         ลดปริมาณการใช้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หากปัจจุบันใช้บัตรหลายใบ ให้คงเหลือใช้เพียง 1 ใบ เพื่อรักษาวินัยในการใช้จ่าย

4.         หยุดการก่อหนี้เพิ่ม และตั้งใจชำระหนี้อย่างมีวินัย  หาทางเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้มากขึ้น
เมื่อปลดภาระหนี้แล้ว ควรวางแผนการเงินแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง หมั่นทำรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวัน เพื่อให้รู้ว่าเงินที่ใช้หมดไปกับอะไรบ้าง



อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555


                                               อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ 
                                                                  ประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555

ธนาคารออมทรัพย์ประจำ
3 เดือน6 เดือน12 เดือน24 เดือน
ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ     
กรุงเทพ0.75001.8750-2.00002.1250-2.25002.5000-2.75002.7500
กรุงไทย0.75002.0000-2.20002.60002.7500-3.00003.1250
กสิกรไทย0.75001.6500-2.05002.0000-2.25002.4000-2.60002.6500
ไทยพาณิชย์0.75001.7500-2.10002.1500-2.35002.5000-2.75002.7500
กรุงศรีอยุธยา0.75001.8000-2.00002.1500-2.30002.6000-2.75002.7500
ทหารไทย0.1250-2.25001.7500-2.50002.00002.2500-3.00002.5000-2.8500
ยูโอบี0.65001.8500-2.00002.0000-2.25002.4000-2.65002.6500
ซีไอเอ็มบี ไทย0.50002.00002.40002.65003.0000
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)0.2500-2.50002.0000-2.25002.0000-2.50002.2500-2.75002.5000-2.7500
ธนชาต0.7500-1.40002.0000-2.15002.2500-2.45002.6000-2.80002.8500
ทิสโก้1.2500-2.50002.7500-2.85002.7500-2.85003.00003.1250
เมกะ สากลพาณิชย์0.85002.3000-2.80002.4500-2.90002.8000-3.0000-
เกียรตินาคิน0.75002.7500-2.80003.1000-3.15003.2500-3.30003.4000-3.4500
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์0.8750-3.00002.8500-3.00003.1500-3.25003.0000-3.30003.4000-3.4500
ไอซีบีซี (ไทย)0.8750-2.25002.75002.7000-2.95002.8500-3.10003.0000-3.2500
ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย0.85002.75002.8500-3.15003.25003.2500



ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย